ครอสโอเวอร์ กับการตอบสนองเชิงพื้นที่

เริ่มต้นจากเรื่อง อะคูสติกครอสโอเวอร์ สิ่งที่จะเห็นคือ หลักการของ Spectral Crossover (การปรับแต่งจุดตัดในอุปกรณ์ ครอสโอเวอร์) เป็นส่วนสำคัญ แนวคิดนี้จะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในเรื่อง การแยกครอสโอเวอร์เชิงพื้นที่ (Spatial Crossover)

Spectral กับ Spatial

อุปกรณ์ตัดครอสโอเวอร์ (Spectral Divider) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แบ่งสัญญาณเสียงในช่วงความถี่ต่าง ๆ เพื่อส่งไปยังแต่ละลำโพง  โดยอาจจะเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ภายในลำโพง หรือติดตั้งในระบบเสียง เพื่อจัดการสัญญาณเสียงในแต่ละลำโพง ให้ได้รับสัญญาณที่เหมาะสมกับความถี่ และทำให้แต่ละลำโพงสามารถส่งเสียงออกมาในช่วงความถี่ที่เหมาะสม โดยมีจุด Spectral Acoustic Crossover เป็นจุดที่แบ่งสเปกตรัมของสัญญาณเสียง เพื่อส่งเข้าไปยังลำโพงต่าง ๆ

ตัวอย่างการเรียก Spectral และ Spatial

• ลำโพง 2 ทาง จะถูกแบ่งความถี่จากอุปกรณ์ครอสโอเวอร์ (Spectral Divider) เพื่อจ่ายความถี่ที่เหมาะสมไปยังไดรเวอร์ HF และ LF โดยไดรเวอร์ทั้ง 2 จะส่งสัญญาณเสียงให้ครอบคลุมพื้นที่ฟังเดียวกัน (Spatial)
• การจัดวางลำโพง 2 ใบ (Speaker Array) มีเป้าหมายการแบ่งเพื่อการกระจายเสียงในพื้นที่ (Spatial) ลำโพงแต่ละใบยังทำงานในช่วงความถี่เดียวกัน ดังนั้นโหลดเชิงพื้นที่ถูกแบ่งออก (Spatial) แต่โหลดเชิงสเปกตรัมยังคงถูกแบ่งเท่า ๆ กัน (Spectral)

จากครอสโอเวอร์ทั้ง 2 แบบ การที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองในพื้นที่ได้  Phase Aligned Crossover เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเมื่อใดก็ตามที่พบว่าสัญญาณ 2 สัญญาณมีระดับเท่ากัน จะต้องทำให้เฟสเท่ากันด้วย

สิ่งที่จะเห็นในส่วนนี้คือ การแบ่งเชิงพื้นที่ (Spatial division) ซึ่งเป็นกระบวนการแยกพื้นที่การฟังออกเป็นโซนต่าง ๆ เทียบได้กับการแยกไดร์เวอร์เสียงสูง กลางสูง กลางต่ำ และเสียงต่ำ ซึ่งเป็นหลักการชุดเดียวกันนี้จะนำไปใช้กับครอสโอเวอร์ 4 ทาง ภายในตู้เดียว (Spectral) หรือในไลน์อาร์เรย์ 4 ใบ (Spatial)

นอกจากนั้นจะพบว่าผนังห้องเป็นตัวแบ่งเชิงพื้นที่ (Spatial) เช่นเดียวกัน Spectral Acoustic Crossover โดยการสะท้อนจะถูกควบคุมด้วยหลักการเดียวกัน

หลักทั่วไประหว่าง Spectral และ  Spatial acoustic crossovers

• ทั้ง 2 ถูกควบคุมโดยคุณสมบัติ การรวมกันของคลื่นเสียง

• เพื่อให้ได้ผลรวมที่ดีที่สุด จะต้องใช้วิธีการ Phase Aligned Crossover

• ครอสโอเวอร์เชิงพื้นที่ (Spatial Crossover) ผู้ฟังสามารถอยู่ได้ในทุก ๆ จุด จึงต้องให้ความสำคัญกับความสามารถในการเข้าสู่ Isolate โดยไม่มีการ Cancellation

• ขณะที่ปลี่ยนแปลงเฟสสัมพัทธ์ใน Spectral Divider จะส่งผลต่อบางช่วงความถี่ในครอสโอเวอร์นั้นเท่านั้น แต่เฟสสัมพัทธ์ใน Spatial Divider จะส่งผลต่อความถี่ทั้งหมด

• ในห้องฟังเสียง จุดที่ลำโพง 2 ใบ มีระดับเท่ากัน จะเหมือนกับที่อยู่ใน Spectral Divider Crossover frequency บริเวณนี้จะเกิด Coupling Zone

• ความสามารถในการควบคุมทิศทางของลำโพงนั้น คล้ายคลึงกับความชันของ Spectral Divider ลำโพงที่มีทิศทางสูงเปรียบเสมือนครอสโอเวอร์ที่ชันมาก

• การเปลี่ยนแปลงในระดับเสียงสัมพัทธ์ระหว่างลำโพง จะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของจุดตัด Spatial Crossover สิ่งนี้คล้ายกับการเปลี่ยนแปลงความถี่ในอุปกรณ์ครอสโอเวอร์ Spectral divider ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับเสียงของไดรเวอร์ตัวใดตัวหนึ่ง

• ความสามารถในการเพิ่มพลังงาน ที่มาจากการทับซ้อนกันที่แนวนอน หรือแนวตั้งใน Spatial Crossover นั้นคล้ายคลึงกับการทับซ้อนในช่วงความถี่ภายในอุปกรณ์ครอสโอเวอร์ Spectral Divider

ในความเป็นจริง Spatial Acoustic Crossovers นั้นซับซ้อนกว่า Spectral มาก แม้จะใช้หลักการเดียวกัน

Spatial Acoustic Crossovers  หาได้จากการวางลำโพง 2 ใบที่เหมือนกันในทิศทางใดก็ได้ และหาจุดกึ่งกลางระหว่างลำโพงทั้งสอง นั่นคือการครอสโอเวอร์สำหรับทุกความถี่ และเป็นศูนย์กลางของ Coupling Zone

ส่วนถัดไปยากขึ้นเล็กน้อย คือต้องหาทางออกจาก Coupling Zone ไปยัง Isolation Zone ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ลำโพงใบหนึ่งจะดังกว่าในระดับ 10 dB ที่ความถี่ใดความถี่หนึ่ง

หากลำโพงมีรูปแบบ Directional Pattern สำหรับทุกความถี่ จุดแบ่งเข้าสู่ Isolation Zone จะเป็นเรื่องง่าย น่าเสียดายที่ไม่มีอยู่จริง เพราะจะพบว่าความถี่ต่ำนั้น ทับซ้อนกันมากกว่าความถี่สูง ดังนั้นจะมีจุดต่าง ๆ ในห้องสำหรับ Combing, Combining และ Isolation Zones ในแต่ละความถี่

สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของระดับแอมพลิจูด และเฟสระหว่างลำโพง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ซับซ้อน

Crossover Overlap

พิจารณาการทับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับ Spatial Divider นั้น ย่อมมีความเกี่ยวเนื่องกับ Spectral Divider หากเสียงจากลำโพงทั้ง 2 ใบ รวมกันที่จุด -6 dB จุดศูนย์กลางจะได้เท่ากับ O dB เมื่อการตอบสนองของเฟสตรงกัน ซึ่งต่อมาก็คาดหวังว่า การตอบสนองของแอมพลิจูดและเฟส จะเคลื่อนออกจากจุดศูนย์กลาง และแยกออกจากกันก่อนที่จะเกิดการ Cancellation !!

ความแตกต่างพื้นฐานระหว่าง Spatial และ Spectral Dividers คือ Spatial จะมีคลาสของครอสโอเวอร์ทั้ง 3 อยู่รวมกันในผลรวมเชิงพื้นที่ การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นตามระยะทางและความถี่

ใน Near Field จะมีช่องว่างของจุดตัด (Gap Crossover) ต่อมาจะมี Unity และ Overlap ในระยะที่ไกลออกไป ทีนี้จะพบว่าอัตราการเปลี่ยนผ่าน จะเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละความถี่ และทิศทางที่เปลี่ยนไป ความถี่ต่ำอาจทับซ้อนกันได้ทันที ในขณะที่ตำแหน่งความถี่สูงยังคงมีช่องว่างของจุดตัดอยู่

ประเภททิศทางเสียงของลำโพง

ทิศทางของลำโพงจะกำหนดขนาดช่วงครอสโอเวอร์ โดยลำโพงที่มีทิศทางที่แคบ จะส่งผลทำให้ช่วงครอสโอเวอร์สั้นลง

เป้าหมายของการออกแบบ Spatial Acoustic Crossover นั้นเหมือนกับ Spectral Acoustic Crossover ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ นั่นคือการเปลี่ยนออกจากบริเวณ ครอสโอเวอร์ ก่อนที่การตอบสนองของเฟสสัมพัทธ์จะไปถึงด้านลบของวงกลมวัฏจักรเฟส

เป็นอีกครั้งที่จะต้องมีการแข่งขันในการแยกแอมพลิจูด (Isolation) กับการยกเลิกเฟส (Phase Cancellation) แต่คราวนี้จะต่างตรงที่ Spatial Acoustic Crossover จะทำงานบนช่วงความถี่ทั้งหมด จึงจะมีการครอสโอเวอร์ในทุกความถี่

ยกตัวอย่าง อะไรคือโอกาสในการไปยัง Isolation zone ก่อนที่จะเกิด Cancellation ด้วยจุดครอสโอเวอร์ 16 kHz?

เหตุผลคือความยาวคลื่น การชดเชยทางกายภาพระหว่างการมาถึงที่จุดรับฟัง จะต้องน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของความกว้างนิ้ว! ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่สมบูรณ์แบบ แต่สามารถปรับได้ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมความเสียหาย

ข้อกังวลเกี่ยวกับทิศทางเสียงของลำโพง สำหรับ Spatial Crossovers

• ไม่มีลำโพงใด ที่มีทิศทางสม่ำเสมอตลอดทุกความถี่เสียง ดังนั้นความชันของครอสโอเวอร์จึงเปลี่ยนไปตามความถี่ด้วย

• ลำโพงจะมีความสามารถในการควบคุมทิศทางในช่วงความถี่สูง ได้มากกว่าความถี่ต่ำ ดังนั้นความชันจะส่งผลต่อระดับการซ้อนทับของเสียง (Overlap) จึงเป็นปัจจัยในการเลือกตำแหน่งสัมพัทธ์ของลำโพง

• เนื่องจากความยาวคลื่นที่ปลายความถี่สูงนั้นสั้นที่สุด การควบคุมการซ้อนทับของความถี่สูง (Overlap) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ส่วนช่วงความถี่กลางและต่ำ สามารถทำให้ได้ระดับเสียงที่สูงขึ้น เนื่องจากความยาวคลื่นนั้นยาวพอ ที่จะลดการ Cancellation ให้เหลือน้อยที่สุด

• ในความถี่สูงจะต้องมีความแตกต่างของเส้นทางสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากเกิดการซ้อนทับกับ (Overlap) จะทำให้เกิดการ Cancellation ง่ายเมื่อเทียบกับความถี่อื่น ๆ เนื่องจากความยาวคลื่น ระบบเสียงจึงจำเป็นจะต้องแยกความถี่สูงออกจากกัน

แม้ว่าจะไม่มีลำโพงใด ที่มีทิศทางการควบคุมความถี่สม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความแตกต่างระหว่างลำโพงที่มีทิศทางสูง และลำโพงที่มีมุมครอบคลุมกว้าง

ลำโพงทั้งหมดมีทิศทางกว้างในช่วงความถี่ต่ำสุด แต่จะแตกต่างกันในความถี่กลางและสูง สิ่งเหล่านี้สามารถมองได้ว่า มีอัตราส่วนที่แตกต่างกันของทิศทาง LF, MF และ HF

จากรูป Spatial Crossover  ลำโพงลำดับที่ 1  มีการกระจายเสียง 270 องศา ที่ความถี่ 200 Hz และการกระจาย 90 องศา ตั้งแต่ 1 ถึง 16 kHz ลำโพงประเภทแรกนี้มีลักษณะเป็นอัตราส่วน 3:1:1 ของทิศทางเหนือความถี่

Unity Class Crossover ที่เสียงสูงจะถูกสร้างขึ้น หากลำโพงทั้ง 2 ใบถูกจับแยก 90 องศา แต่ในความถี่ที่ต่ำกว่า 1 kHz การทับซ้อนกันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิด Combination Zone ที่กว้างขึ้น และ Isolation Zones ที่เล็กลง

ต่อมาลำโพงลำดับที่ 3 มีการตอบสนองความถี่ต่ำและกลางใกล้เคียงลำโพงลำดับที่ 1 แต่แคบลงถึง 7 องศาที่ 16 kHz ลำโพงนี้มีลักษณะเฉพาะคืออัตราส่วนทิศทาง 40:12:1 บนความถี่ ตอนนี้ Unity Class Crossover ที่ 16 kHz จะถูกสร้างขึ้น หากลำโพง 2 ใบถูกจับแยก 7 องศา แต่จำนวนการทับซ้อนที่ 1 kHz จะมีเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ของรูปแบบ

จากทั้ง 2 กรณี มุมกระจายเสียงของลำโพงต้องจับแยกไม่เกินมุมที่แคบที่สุด นั่นคือมุมของความถี่สูง เพื่อป้องกันเสียงขาดหายจากการ ครอสโอเวอร์ ซึ่งในช่วงที่ทับซ้อนกันจะเกิด Couple, Comb หรือ Combine ขึ้นอยู่กับระดับเสียงและเฟสสัมพัทธ์

ลำโพงลำดับที่ 1 จะมีการทับซ้อนกันน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับความถี่ ดังนั้นจึงสามารถทนต่อระยะห่างได้ในอัตราส่วนที่สูงกว่า ต่างกับลำโพงลำดับที่ 3 ซึ่งมีการทับซ้อนกันมาก จึงต้องลดระยะห่างให้เหลือน้อยที่สุด

ไม่มีเส้นแบ่งการทับซ้อนของลำดับลำโพง เหมือนที่มีใน Filter การเปลี่ยนแปลงมุมกระจายจะค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างนี้มีประโยชน์ เพราะจะช่วยให้สามารถจำแนกลำโพงได้ โดยไม่ต้องแยกออกเป็นหลายร้อยลำดับ

การจำแนกลำดับได้มาจาก การดูความสามารถในการควบคุมทิศทางของลำโพง การตอบสนองปกติ (Nominal Response) คือการตอบสนองในแนว On-Axis ปัจจัยการจัดลำดับคือ ระดับของการกรองความถี่ในเขตความครอบคลุมลำโพง  ± 45 องศา หรือ 90 องศาบนความถี่

ลำโพงลำดับ 0 หมายถึง ลำโพงที่แสดงระดับเสียงเท่าเดิมทั้งในศูนย์กลาง และขอบ Quadrant (ความครอบคลุม 360 องศา) ซึ่งแสดงเป็นเส้นตรงบนกราฟ ระดับเสียงจะเท่าเดิมในทุกทิศทาง โดยปราศจากการควบคุมทิศทางของเสียง ที่จะมีผลกระทบต่อแนวตั้งหรือแนวนอน

จากรูปลำโพงลำดับที่ 1 ลดลง -6 dB ที่ขอบ ± 45 องศา ในขณะที่ลำโพงลำดับที่ 2 และ 3 ลดลง -12 และ -18 dB ตามลำดับ อัตรา HF roll off สอดคล้องกับ 90, 45 และ 22 องศาตามลำดับ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการประมาณ แต่ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าใจผิดว่าลำโพง 7 องศา เป็นมุมกระจายเสียงที่แบนราบในทุกความถี่

แสดงรูปร่างที่สร้างขึ้นโดยรูปแบบของการครอบคลุมของลำโพง สามารถมองเห็นได้ด้วยรูปร่างแบบครอสโอเวอร์ที่คุ้นเคย ลำโพงลำดับที่ 1 แสดงความลาดชันเล็กน้อย ในขณะที่ลำโพงลำดับที่ 3 มีความชันที่มาก (รูปร่างที่เห็นนี้ไม่ใช่ความถี่ทั้งช่วง)

รูปแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง รูปร่างลำดับลำโพงกับความถี่ ที่นี่จะเห็นความลาดเอียงที่นุ่มนวลของ ระบบลำโพงลำดับที่ 1 มีรูปร่างในแต่ละช่วงความถี่ใกล้เคียงกัน ส่วนลำโพงลำดับที่ 3 จะเห็นว่ารูปร่างที่สูงชัน และไม่ใกล้เคียงกับการตอบสนองความถี่กลางและความถี่ต่ำ

จากรูป Spatial Crossover Point ณ ระยะทางที่กำหนด ขึ้นอยู่กับรูปแบบและความห่างระหว่างกัน ซึ่งสามารถสร้าง Unity Class Crossover สำหรับลำโพงทั้ง 3 ลำดับได้ แต่จะต้องมีความห่างที่แตกต่างกัน โดยลำโพงลำดับที่ 3 จะต้องอยู่ใกล้กันมากที่สุด

แต่ในกรณีระยะห่างคงที่เท่ากันในลำโพงทั้ง 3 ลำดับ ระยะห่างของ Unity Class Crossover จะเปลี่ยนไป โดยระบบลำโพงที่ 3 จะมีระยะทางที่ไกลที่สุดกว่าจะเข้าสู่ Unity Class Crossover

**โปรดทราบว่าเมื่อระยะห่างลำโพงเพิ่มขึ้น สัดส่วนของ Combing และ Combination Zones จะกลายเป็นสัดส่วนที่มากขึ้นของพื้นที่ครอบคลุมเสียง

รูปแสดงการวางทำมุมระหว่างลำโพง ทำให้เกิดรูปทรงที่รวมกัน ระยะห่างและการทำมุมต้องเป็นสัดส่วนกับลำดับของลำโพง เพื่อรักษา Unity Class Crossover ซึ่งระยะทางของ Unity Class Crossover จะมาจากมุมของลำดับลำโพง และระยะห่างจากแหล่งกำเนิดที่บีบอัดตามสัดส่วน

สำหรับลำดับลำโพงที่กำหนด เมื่อมุมแคบขึ้น ลำโพงจะต้องขยับทำมุมเข้ามาใกล้กันเพื่อรักษา Unity Class Spatial Crossover ในระยะทางที่กำหนด และเมื่อลำโพงขยายหรือเว้นระยะห่างออกจากกัน ระยะทางของ Unity Class Spatial Crossover จะขยับออกไปไกลขึ้น

ครอสโอเวอร์อสมมาตร (Crossover Asymmetry)

ครอสโอเวอร์เชิงพื้นที่แบบอสมมาตร ถูกสร้างขึ้นเมื่อใดก็ตามที่มีพารามิเตอร์ที่ไม่ตรงกันอยู่ในช่วงครอสโอเวอร์ ตัวอย่างเช่น ความแตกต่างของระดับ ความลาดเอียง และมุมกระจายเสียง ทำให้เกิดรูปร่างที่ผสมผสานกันอย่างไม่สมมาตร

ปัจจัยเหล่านี้แสดงในรูป การเพิ่มระดับลำโพงใบหนึ่ง ทำให้ Spatial Crossover Point ขยับเข้าใกล้ลำโพงระดับล่าง หรือจุดครอสโอเวอร์จะเลื่อนไปในทิศทางของลำโพงที่เบากว่า เช่นเดียวกับ Combing และ Combination Zones

สามารถใช้ Spatial Crossovers แบบหลายทาง (ลำโพงหลายใบ) เพื่อแบ่งการครอบคลุมออกเป็นจำนวนไม่จำกัด เช่นเดียวกับลำโพง 2 ใบ ระยะห่าง ระดับ และลำดับลำโพง จะเป็นตัวกำหนดความลึกของ Unity Class Spatial Crossover

กรณีมีลำโพงที่มากขึ้น จำเป็นต้องใช้ลำโพงที่มี Order สูง พร้อมระยะห่างที่ใกล้ชิดขึ้นสำหรับงานนั้น

สิ่งนี้นำไปสู่จุดวิกฤต เนื่องจากความถี่ต่ำและความถี่กลาง จะมีการทับซ้อนกันจำนวนมาก ในระบบหลายทางที่หนาแน่นเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถรักษา Unity Class Spatial Crossover ในระยะทางและความถี่ได้ ซึ่งจะกล่าวในเรื่องถัด ๆ ไป

จากรูป โซนคลาสครอสโอเวอร์จะแสดงขึ้นตามระยะทาง ในระยะห่างที่กว้าง ช่วงการเปลี่ยนผ่านจะแยกออกจากกัน เมื่อระยะห่างลดลง จะเกิดการบีบอัดโซนให้ใกล้เข้ามา ต่อมาเพิ่มลำโพงใบที่ 3 ครอสโอเวอร์ใหม่ 2 รายการจะถูกเพิ่ม คือคู่ของลำโพงใบที่ 2 และ 3 และของลำโพงใบที่ 1 และ 3

องค์ประกอบเพิ่มเติม จะขยาย Unity Class Spatial Crossover ออกไปด้านนอก (แนวนอน) แต่มีผลตรงกันข้ามในโซนที่ทับซ้อนกัน ซึ่งมี 3 โซนที่ทับซ้อนกันเป็นรูปทรงปิรามิด

เมื่อความถี่ลดลง รูปแบบความครอบคลุมก็จะกว้างขึ้น และโซนทั้งหมดจะถูกบีบอัด

ธรรมชาติของอาร์เรย์มีความซับซ้อน ในขณะนี้กำลังแนะนำกลไกที่ใช้ในการควบคุมระบบดังกล่าว ไม่มีปัจจัยชี้ขาดใดมีผลมากไปกว่า การทับซ้อนแบบครอสโอเวอร์

การขาดการทับซ้อน ทำให้รูปแบบความครอบคลุมขยายออกไป ส่วนการทับซ้อนกันจำนวนมาก อาจทำให้รูปแบบแคบลง

รูปแสดงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Multiway Spatial Crossover ในทุกกรณีรูปร่างปิรามิดจะปรากฏขึ้น ระดับของการทับซ้อนกันจะเป็นตัวกำหนดความสูงชันของขั้นบันไดปิรามิด

การได้ยินครอสโอเวอร์ (Crossover Audibility)

การได้ยินครอสโอเวอร์มีรูปแบบที่แตกต่างกันใน Spatial Divider

ปัจจัยที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้สำหรับ Spectral Dividers จะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง ซึ่ง Spatial dividers นั้นซ่อนได้ยากกว่ามาก เนื่องจากแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนผ่านเส้นแบ่งโดยปราศจาก Combing Zone ในความถี่สูง และยังมีแนวโน้มที่จะชัดเจนขึ้น เมื่อมีความห่างทางกายภาพมากขึ้น เช่น กรณีของการเติม Frontfill / Center Cluster Crossover

ความลาดชันของครอสโอเวอร์นั้นแตกต่างกัน ระบบที่มีความชันครอสโอเวอร์สูง อาจตรวจจับได้ชัดเจนแต่ในพื้นที่ขนาดเล็กมากเท่านั้น ในขณะที่ระบบที่มีความชันครอสโอเวอร์ไม่มาก จะถูกตรวจจับได้น้อยกว่า แต่กระจายไปทั่วพื้นที่ได้กว้างกว่า

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างเด่นชัดที่สุดของ Spatial Crossover สามารถรับฟังได้เฉพาะในบางตำแหน่งเท่านั้น แต่ Spectral dividers สามารถรับฟังได้โดยทั่วไป เพราะเกิดจากอุปกรณ์

ซึ่งนักออกแบบสามารถวาง Spatial Crossover ไว้บนหน้าบันไดและตำแหน่งอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นการช่วยลดปัญหาที่เกิดได้

สรุปคือ Spectral Divider การจัดการที่ไม่ถูกต้อง จะสร้างปัญหาในการรับฟังในพื้นที่โดยรวมเพราะเกิดจากอุปกรณ์ แต่ Spatial Crossover สามารถวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่น ระหว่างที่นั่ง บันได ช่องทางเดิน ทำให้ลดความรุนแรงของปัญหาได้

ข้อมูลอื่น ๆ ที่แสดงการตอบสนองที่ไม่ตรงกันในพื้นที่ ครอสโอเวอร์ สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อมีลำโพงใบหนึ่งขยายช่วง HF ได้ดีกว่าลำโพงใบอื่น นี้เป็นปัจจัยที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง เมื่อต้องใช้ลำโพงเล็ก อย่าง ลำโพง Front fill หรือลำโพงใต้ Balcony กับลำโพง Main

ข้อมูลอีกประการหนึ่ง มาในรูปแบบของระยะทางสัมพัทธ์ ลำโพงที่อยู่ใกล้จะมี อัตราสัญญาณต่อเสียงรบกวน(Signal to noise) ที่ดีกว่าลำโพงที่อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกล ซึ่งเป็นเพราะสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของพลังงานสะท้อน ในการตอบสนองของลำโพงที่อยู่ห่างไกล

เมื่ออยู่ใกล้ลำโพง จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ในการจัดการระดับสัมพัทธ์กับลำโพงที่อยู่ห่างไกล เพื่อไม่ให้ลำโพงที่อยู่ใกล้โดดเด่นกว่าลำโพงที่อยู่ห่างไกลนั่นเอง

สรุป ครอสโอเวอร์กับการตอบสนองเชิงพื้นที่

ในเนื้อหาเรื่องนี้จะให้ความสำคัญกับ การครอสโอเวอร์ของลำโพงภายในพื้นที่ โดยที่มีลำดับลำโพง ระดับเสียง และการวางมุม ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง Class ของครอสโอเวอร์ในพื้นที่เป็นหลัก รวมทั้งความต่างของ Spectral และ Spatial เมื่อใช้ลำโพงหลาย ๆ ใบจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ของลำโพงในรูปแบบปิรามิด ซึ่งจะนำไปสู่ชนิดของ Array ลำโพงแบบต่าง ๆ ในบทถัดไป

สุดท้ายสิ่งที่ต้องจำเสมอว่า  การที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองในพื้นที่ได้  Phase Aligned Crossover เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเมื่อใดก็ตามที่พบว่าสัญญาณ 2 สัญญาณมีระดับเท่ากัน จะต้องทำให้เฟสเท่ากันด้วย และจุดเหล่านั้นได้อธิบายไว้ในบทความนี้แล้ว